รายละเอียดข้อความ สั้นๆ เป็นคำเชิญชวน:
อัพโหลดรูป
เปลี่ยนรูป

อัพโหลดรูป
เปลี่ยนรูป

กรุณากรอกข้อมูลสำหรับการโพสลงเฟสบุ๊คกลุ่ม

หัวข้อสินค้าที่ 1 (ต้องมี):
[ + เพิ่มหัวข้อสินค้า ]
รายละเอียดโปรโมทชั่น (ไม่ควรเกิน 200 คำ):
[ + เพิ่มช่องกรอกรายละเอียดสินค้า ]
กรุณาระบุ URL เว็บฯไซต์ หรือสินค้าที่เกี่ยวกับโปรโมชั่น:
คลิกดูคำแนะนำ
  • 1. การใส่ URL ควรเป็น URL หน้าร้านเท่านั้น และ URL หน้าร้านที่นำมาโปรโมท จะต้องไม่อยู่ระหว่างการซื้อโฆษณาเพิ่มยอด LIKE
  • 2. หากต้องการใส่ URL สินค้าภายในร้าน ไม่ควรเป็น URL สินค้าที่กำลังซื้อโฆษณาอยู่ เพราะเฟสบุ๊คจะไม่ยอมให้โพส
  • 3. หากพบปัญหา URL ใช้โปรโมทไม่ได้ เพราะเฟสบุ๊คบอกว่าเป็น URL ไม่ปลอดภัย และคุณยังต้องการโปรโมทสินค้าชิ้นนี้ ให้ใส่ - แทนในช่องนี้
ราคา (ถ้าโพสขายต้องมี และไม่ต้องใส่คอมม่า ','):
อัพโหลดรูป(อัพโหลดได้สูงสุด 4 รูป)
เปลี่ยนรูป

เปลี่ยนรูป

เปลี่ยนรูป

เปลี่ยนรูป

หากคุณได้เพิ่มข้อมูลเข้าระบบครบตามต้องการแล้ว กรุณากดปุ่ม Continue บนแผงควบคุมไอมาโครเพื่อให้ระบบทำงานต่อจ้า

กรุณากรอกข้อมูลการติดต่อสำหรับการโพสลงแฟนเพจ
และเฟสบุ๊คกลุ่มของคุณ

กรุณาระบุ URL สำหรับให้ลูกค้า Inbox ผ่านหน้าแฟนเพจ ถ้าไม่มีให้พิมพ์ - :
  • ตัวอย่าง: URL สำหรับอินบ็อค จะมีลักษณะแบบนี้ -->> https://www.facebook.com/messages/asiastreetfashion59
กรุณาระบุเบอร์โทรที่ต้องการให้ลูกค้าติดต่อ ถ้าไม่มีให้พิมพ์ -
กรุณาระบุ URL เว็บฯไซต์ของทางร้าน ถ้าไม่มีให้พิมพ์ -
กรุณาระบุอีเมลล์ที่ต้องการให้ลูกค้าติดต่อ ถ้าไม่มีให้พิมพ์ -
กรุณาระบุ LINE ID ที่ต้องการให้ลูกค้าติดต่อ ถ้าไม่มีให้พิมพ์ -
อัพโหลดไฟล์ .csv
Please wait iMacro will be start again.
Auto Restart Your iMacros

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สิ่งควรรู้ก่อนทำปุ๋ยชีวภาพ


แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเนื้อหาเกี่ยวกับการผสม และการทำปุ๋ยใช้เอง เราอาจจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพืชสักหน่อย เพราะพืชแต่ละชนิดมีความต้องการที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้ว ทุกชนิดต้องการความสมดุลของดิน และบรรยากาศที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก โดยธาตุอาหารพืช หรือธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญ และการ

สิ่งควรรู้ก่อนทำปุ๋ยชีวภาพ

พัฒนาการของพืชจะประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ โดยจะคิดเป็นร้อยละโดยประมาณดังนี้

  • ธาตุ O ออกซิเจน 45%
  • ธาตุ Mg แมกนีเซียม 0.3%
  • ธาตุ C คาร์บอน 44%
  • ธาตุ B โบรอน         0.005%
  • ธาตุ H ไฮโดรเจน 6%
  • ธาตุ CI คลอรีน 0.015%
  • ธาตุ N ไนโตรเจน 2%
  • ธาตุ Cu ทองแดง 0.001%
  • ธาตุ P ฟอสฟอรัส 0.5%
  • ธาตุ Fe เหล็ก         0.02%
  • ธาตุ K โพแทสเซียม 1.0%
  • ธาตุ Mn แมงกานีส 0.05%
  • ธาตุ Ca แคลเซียม 0.6%
  • ธาตุ Mo โมลิบดีนัม 0.0001
  • ธาตุ S กำมะถัน 0.4%
  • และธาตุ Zn สังกะสี 0.01%

ธาตุ O ออกซิเจน 
เป็นส่วนสำคัญสำหรับกระบวนการหายใจ. กระบวนการหายใจ สร้างสารให้พลังงาน ATP จากการใช้น้ำตาลที่ได้มาจากกระบวนการสังเคราะห์แสง
พืชสร้างออกซิเจนขึ้นในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื่อที่จะสร้างน้ำตาล แต่พืชก็ใช้ออกซิเจนในการกระบวนการหายใจเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็น ATP
"ATP(adenosine triphosphate) อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต  เป็นสารให้พลังงานสูงแก่เซลล์ ผลิตจากกระบวนการสังเคราะห์แสง หรือการหายใจระดับเซลล์และถูกใช้ โดยกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น สลายอาหาร , active transport ,move"

ธาตุ Mg แมกนีเซียม

แมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคลอโรฟิลล์ และก็มีความสำคัญในกระบวนการสร้าง ATP โดยทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ (enzyme cofactor).
การขาดแมกนีเซียม อาจทำให้เกิดอาการเหลืองระหว่างเส้นใบ (interveinal chlorosis).


ธาตุ C คาร์บอน

คาร์บอนทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืช เช่น แป้ง และ เซลลูโลส. พืชได้รับคาร์บอนมากจากการสังเคราะห์แสงโดยรับ คาร์บอนไดออกไซด์มาจากอากาศ และส่วนหนึ่งก็ถูกแปลงเป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับสะสมพลังงาน


ธาตุ B โบรอน

โบรอนทำหน้าที่สำคัญช่วยในการเชื่อมต่อของเพกตินเข้ากับRGII regionของผนังเซลล์หลัก และโบรอนยังทำหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำตาล ในการแบ่งเซลล์ และในสร้างเอนไซม์หลายๆชนิด
การขาดโบรอนในพืชทำให้เกิดการตายเฉพาะส่วนในใบใหม่และการชะงักการเติบโตของพืช

ธาตุ H ไฮโดรเจน

ไฮโดรเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างน้ำตาลและการเติบโตของพืช. พืชได้รับไฮโดรเจนส่วนใหญ่จากน้ำ

ธาตุ CI คลอรีน

คลอรีนมีความสำคัญในกระบวนการออสโมซิส (osmosis) และ การรักษาสมดุลของประจุ และยังทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงด้วย

ธาตุ N ไนโตรเจน

ไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของโปรตีนทุกชนิด
การขาดไนโตรเจนในพืช ส่วนใหญ่แล้วจะแสดงออกมาโดยการชะงักการเติบโตของพืช การเติบโตช้า หรือว่าแสดงอาการใบเหลือง (chlorosis). ทั่วไปแล้ว ไนโตรเจนจะถูกดูดซึมเข้าทางดินในรูปของไนเตรต(NO-3)
แต่หากพืชได้รับไนโตรเจนมากเกินไป ใบเขียวเข้ม อาจเสี่ยงกับอาการโคนต้นงอ (lodging) หรืออ่อนแอต่อภาวะแล้ง โรคพืช และแมลง; พืชอาจไม่ค่อยให้ผล

ธาตุ Cu ทองแดง

ทองแดงมีความสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง
การขาดทองแดงในพืชทำให้พืชแสดงอาการเหลือง (chlorosis)

ธาตุ P ฟอสฟอรัส

ฟอสฟอรัสเป็นส่วนสำคัญในระบบพลังงานของพืช เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ ATP.
การขาดฟอสฟอรัสในพืช จะแสดงให้เห็นจาก การที่ใบพืชมีสีเขียวเข้มจัด ถ้าขาดรุนแรงใบจะผิดรูปร่างและแสดงอาการตายเฉพาะส่วน
แต่หากพืชได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป พืชที่ได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณมากเกินไป อาจเกิดอาการขาดจุลสารอาหาร เช่น เหล็ก หรือ สังกะสี

ธาตุ Fe เหล็ก

เหล็กมีความสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชและทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์อีกด้วย
การขาดเหล็กในพืช อาจทำให้เกิดอาการเหลืองตามเส้นใบ และ การตายเฉพาะส่วน

ธาตุ K โพแทสเซียม

โปแตสเซียมมีบทบาทในการควบคุมการเปิดปิดของรูใบสโตมา (Stoma) ดังนั้นโพแตสเซียมจึงช่วยลดการคายน้ำจากใบและเพิ่มความต้านทานสภาพแล้ง-สภาพร้อน-สภาพหนาวให้กับพืชได้
การขาดโปแตสเซียมในพืช อาจทำให้เกิดการตายเฉพาะส่วน หรือเกิดการเหลืองระหว่างเส้นใบ (interveinal chlorosis) โพแตสเซียมสามารถละลายน้ำได้ดี จึงทำให้อาจชะล้างออกไปจากดินโดยเฉพาะพื้นที่ลักษณะเป็นหินหรือทราย
แต่หากพืชได้รับโพแทสเซียมมากจนเกินไป พืชที่ได้รับโปแตสเซียมในปริมาณมากเกินไป อาจเกิดอาการขาดแมกนีเซียม หรืออาจขาดแคลเซียมด้วย

ธาตุ Mn แมงกานีส

แมงกานีสมีความสำคัญในการสร้างคลอโรพลาสต์
การขาดแมกกานีสในพืช ทำให้พืชมีสีผิดเพี้ยน เช่น การมีจุดด่างบนใบ
แต่หากพืชได้รับแมงกานีสมากเกินไป ใบอ่อนจะเหลืองระหว่างเส้นใบ; ใบจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ

ธาตุ Ca แคลเซียม

แคลเซียมทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายของสารอาหารต่างๆเข้าสู่พืช และยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำงานของเอนไซม์พืชหลายชนิด
การขาดแคลเซียมในพืช มีผลทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต
หากพืชได้รับแคลเซียมมากเกินไป พืชที่ได้รับแคลเซียมในปริมาณมากเกินไป อาจเกิดอาการขาดแมกนีเซียมหรือโปแตสเซียม

ธาตุ Mo โมลิบดีนัม

โมลิบดีนัมเป็นโคแฟกเตอร์ที่สำคัญสำหรับเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างกรดอะมิโน

ธาตุ S กำมะถัน

กำมะถันเป็นส่วนประกอบโครงสร้างของกรดอะมิโนและไวตามีนหลายชนิด และจำเป็นในการกระบวนการสร้างคลอโรพลาสต์.
หากพืชได้รับกำมะถันมากเกินไป ใบจะร่วงก่อนเวลา

และธาตุ Zn สังกะสี

สังกะสีเป็นส่วนสำคัญสำหรับเอนไซม์หลายชนิดและเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการถอดรหัสพันธุกรรม (DNA transcription).
การขาดสังกะสีในพืช โดยทั่วไปแล้วจะทำให้การเติบโตของใบชะงักงัน

อ้างอิงข้อมูลจาก th.wikipedia.org

คาร์บอน ออกซิเจน และไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างพืช ซึ่งพืชได้รับธาตุทั้งสามนี้จากน้ำ และอากาศ ที่เหลืออีก 14 ธาตุ พืชจะได้รับมาจากดิน

จากข้อมูลเบื้องต้นที่อ้อมได้อธิบายไป อาจจะเป็นข้อมูลที่อิงวิชาการไปสักนิดนะคะ แต่เพราะว่าการที่เราจะทำปุ๋ยให้พืชที่เราอุตส่าฟูมฟัก เลี้ยงดูมา หากผิดพลาดไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้เสียหาย และเสียโอกาสได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะทำปุ๋ยขึ้นมาเพื่อใช้งานเอง เราควรรู้ว่าพืชของเราต้องการสารอาหารประเภทใด และมากน้อยแค่ไหน  อย่างที่อ้อมได้เขียนอธิบายไว้แล้วข้างบนว่า หากขาดจะเกิดอะไรขึ้น และหากมีมากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น

คำถามต่อไปที่อาจจะเกิดขึ้นในใจของเรา แล้วสภาพแบบไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ จะดูยังไงละทีนี้
มาถึงขั้นตอนการทดสอบวัตถุดิบก่อนทำปุ๋ย เราจะใช้วัตถุดิบคือ น้ำส้มสายชู 5%  บางคนอาจจะงง กับตัวเลข จะรู้ได้ไงว่าอันไหน 5% ไม่ต้องตกใจนะ ไปหาซื้อตามร้านค้าเขาจะเขียนบนฉลากที่ติดข้างขวดค่ะ ตัวเลขชัดเจนมีหลายยี่ห้อจ้า

งานนี้เราจะทดสอบวัถุดิบก่อนทำปุ๋ย กับตัวอย่าง 2 ตัวอย่างนะคะ
ตัวอย่างที่ 1 ทดสอบกับปูนขาว ขั้นตอนการทดสอบ เพียงใส่ปูนขาวลงไปในน้ำส้มสายชู 5% หากมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นโดยจะสังเกตเห็นฟองเดือด ให้รู้ไว้เลยว่า เราไม่ควรนำปูนขาวไปใช้กับพืช หรือการทำปุ๋ย
ตัวอย่างที่ 2 ทดสอบกับดิน ให้เทน้ำส้มสายชู 5% ลงในชาม หรือถ้วยใส หรือแก้วใส ไม่ต้องมากก็ได้ค่ะ เอาแค่พอประมาณ จะค่อนแก้วหรือครึ่งแก้วก็ได้ หลังจากนั้น ให้เราไปนำดินบริเวณที่เราจะปลูกพืชมาใส่ลงไปในพาชนะที่เตรียมไว้ หากไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น เช่นมีฟองเกิดขึ้น เราก็สามารถใช้ดินนั้นปลูกพืชได้สบายๆ เลยค่ะ

อย่างที่อ้อมเกริ่นไว้แต่แรกว่าการจะปลูกพืชเราต้องรู้ว่าสภาพดิน และสภาพบรรยากาศมีความเหมาะสม และคงตัวเท่านั้น ที่พืชและสัตว์จะเจริญเติบโตได้ด้วยดี  
หากสภาพดิน หรือสารไม่คงตัว ต้องทำให้คงตัวเสียก่อนจำสามารถนำมาทำปุ๋ยชีวภาพได้ค่ะ

การปรับสภาพดิน

การปรับสภาพดินก็มีหลากหลายกรณี โดยจะแยกออกดังนี้
1. ดินเปรี้ยว ควรดูว่าสภาพดินเปรี้ยวมากหรือน้อย หากดินเปรี้ยวน้อย วิธีการคือ เปิดน้ำเพื่อให้ขังในพื้นที่เป็นเวลานานๆ และเปิดออกก่อนมีการเพาะปลูก เท่านี้ก็จะช่วยได้ค่ะ  แต่หากมีอาการหนัก ควรมีการใช้ปูนขาว หินปูนบด นำไปผสมคลุกเคล้ากับหน้าดินในอัตราส่วนที่เหมาะสมจะช่วยลดความเป็นกรดได้ค่ะ

2. ดินที่เค็ม 

  • - หากเป็นดินเค็มจากน้ำทะเล ควรมีการจัดการให้เหมาะกับดิน โดยการปลูกป่าชายเลน, ทำนาเกลือ,เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรืออาจจะสร้างเขื่อนเพื่อปิดกั้นน้ำทะเลเพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกอย่างถาวร และปลูกพืชสวนไม้เค็ม
  • - หากเป็นดินเค็มจากสภาพพื้นที่ โดยจะพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจจะต้องปรับสภาพให้เหมาะกับพื้นที่โดยการปลูกพืชที่ปรับสภาพได้กับดินเค็ม หรืออาจจะใช้วัสดุเพื่อปรับปรุงดิน เช่นแกลบ เพื่อให้การปรับปรุงโครงสร้างดิน หรือจะใช้วิธีการปลูกข้าวที่มีอายุต้นข้าวมากกว่าปกติ ซึ่งสภาพดินเค็มควรระวังเรื่องการทำให้ดินมีผลกระบต่อการที่จะทำให้เกลือแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น

3. ดินทรายจัด ควรมีการบำรุงดินอย่างต่อเนื่องด้วยปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และปริมาณธาตุอาหารให้เพียงพอแก่ความต้องการของพืช

4. ดินตื้น ควรมีการปรับปรุงดินด้วยการไถกลบพืช ร่วมกับการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก  หรือจะใช้วิธีการขุดหลุมปลูกไม้ผล และปรับปรุงหลุมด้วยหน้าดิน โดยไม่ให้มีก้อนกรวด หรือดินลูกรังผสม ใช้ปุ๋ยเคมีตามชนิดพืชที่ปลูกร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ 

ขอบคุณรูปประกอบจาก pinterest.com
ลำไย ลำพูน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น